หลักการใช้ trailing stop-loss มีดังนี้:
1. ตั้ง trailing stop ให้เป็นเปอร์เซ็นต์หรือจำนวนเงินของราคาตลาดปัจจุบัน** ตัวอย่างเช่น หากตั้ง trailing stop ไว้ที่ 10% ราคาตลาดจะต้องเคลื่อนตัวไป 10% เพื่อที่จะหยุดการขาดทุน
2. เลือกประเภทของ trailing stop ที่คุณต้องการ** ประเภทของ trailing stop ที่นิยมใช้มี 2 ประเภท ได้แก่
* **Trailing stop คงที่** (Fixed trailing stop) เป็น trailing stop ที่เคลื่อนที่ในอัตราคงที่ เช่น 10% ตัวอย่างเช่น หากตั้ง trailing stop ไว้ที่ 10% ราคาตลาดจะต้องเคลื่อนตัวไป 10% เพื่อที่จะหยุดการขาดทุนไม่ว่าจะเคลื่อนไหวไปในทิศทางใดก็ตาม
* **Trailing stop ปรับตามตลาด** (Dynamic trailing stop) เป็น trailing stop ที่เคลื่อนที่ตามราคาตลาด เช่น 10 pips ตัวอย่างเช่น หากตั้ง trailing stop ไว้ที่ 10 pips ราคาตลาดจะต้องเคลื่อนตัวไป 10 pips เพื่อที่จะหยุดการขาดทุน หากราคาตลาดเคลื่อนไหวขึ้น 10 pips Trailing stop ก็จะเลื่อนขึ้นไปตามราคาตลาดด้วย
3. ตั้งค่า trailing stop ให้เหมาะสมกับความเสี่ยงและกลยุทธ์การเทรดของคุณ** ตัวอย่างเช่น หากคุณมีความเสี่ยงต่ำ คุณอาจเลือกที่จะตั้ง trailing stop ไว้ที่เปอร์เซ็นต์ที่ต่ำลง เช่น 5% หากคุณมีความเสี่ยงสูง คุณอาจเลือกที่จะตั้ง trailing stop ไว้ที่เปอร์เซ็นต์ที่สูงขึ้น เช่น 15%
4. ติดตาม trailing stop ของคุณอย่างสม่ำเสมอ** ตรวจสอบให้แน่ใจว่า trailing stop ของคุณยังคงเหมาะสมกับสถานการณ์ตลาดในปัจจุบัน หากตลาดมีการเคลื่อนไหวที่รุนแรง คุณอาจต้องปรับ trailing stop ของคุณให้เหมาะสม
การใช้ trailing stop มีข้อดีและข้อเสียดังนี้
ข้อดี
* ช่วยจำกัดการขาดทุน
* ช่วยให้ล็อคผลกำไร
* ช่วยลดความเสี่ยงจากการถูก whipsawed
ข้อเสีย
* อาจทำให้พลาดโอกาสทำกำไรหากตลาดเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว
* อาจซับซ้อนและใช้เวลาในการจัดการ
โดยสรุปแล้ว การใช้ trailing stop เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพที่สามารถช่วยจำกัดการขาดทุนและล็อคผลกำไรได้ อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจข้อดีและข้อเสียของ trailing stop และใช้อย่างเหมาะสมเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด